วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2559

๒๐๐ มโนคณศัพท์และมโนคณาทิคณศัพท์ (๑)

#ปทรูปสิทธิสังเขป๒๐๐
นามศัพท์ : ระบบการสร้างรูปคำนาม ในมโนคณศัพท์
----
นามศัพท์ที่เป็นปุงลิงค์ทั้ง ๕ การันต์ ที่ได้แสดงไปแล้วนั้น เป็นกลุ่มนามศัพท์ที่มีปทมาลาตามการันต์และลิงค์ที่มีกลุ่มศัพท์แจกตามเป็นจำนวนมาก อาจกล่าวได้ว่า เป็นกลุ่มนามศัพท์ใหญ่ ๆ มีรูปที่ปรากฏใช้เป็นส่วนมาก.  อย่างไรก็ตาม ยังมีนามศัพท์ ที่มีปทมาลาเป็นของเฉพาะกลุ่มของตน โดยไม่ทั่วไปแก่ศัพท์อื่นๆ มากนัก.  เหตุที่ศัพท์เหล่านี้เป็นอการันต์บ้าง อุการันต์บ้าง เป็นต้น ดังนั้นคัมภีร์ปทรูปสิทธิจึงจัดอยู่ในการันต์นั้นๆ.   และหนังสือแบบเรียนบาลีไวยากรณ์ ได้จัดแยกไว้ในกลุ่มศัพท์เล็กน้อย โดยเรียกว่า กติปยศัพท์ เพราะมีปทมาลาใช้เฉพาะกลุ่มศัพท์ของตนอย่างแคบๆเพียงไม่กี่ศัพท์.
แม้จะคัมภีร์ปทรูปสิทธิสงเคราะห์อยู่ใน อการันต์เป็นต้น ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้แสดงไว้ในการันต์นั้นๆ เพราะประสงค์ให้ท่านผู้เริ่มศึกษากำหนดปทมาลาของศัพท์ที่หลักใหญ่ๆก่อน เมื่อจับหลักใหญ่ได้แล้ว ก็จะเข้าใจศัพท์เล็กน้อยเหล่านี้ได้.  นามศัพท์เหล่านั้น มีดังต่อไปนี้

มน, คุณวนฺตุ, หิมวนฺตุ, สติมนฺตุ, คจฺฉนฺต, ภวนฺต, ภทฺทนฺต, สนฺต, ราช, พฺรหฺม อตฺต, สข, อาตุม, ปุม, ยุว, มฆว, อทฺธ,
สา
เหตุ, ชนฺตุ,  สตฺถุ, สกมนฺธาตุ, ปิตุ,
อภิภู,
โค
----
มน เป็นต้น จนถึง อทฺธ เป็นอการรันต์ ท่านแสดงไว้ในกลุ่มศัพท์ อการันต์
สา เป็น อาการันต์ แสดงต่อจาก อการันต์
เหตุ เป็นต้น จนถึง ปิตุ เป็น อุการันต์ ท่านแสดงไว้ในกลุ่มศัพท์ อุการันต์
อภิภู ท่านแสดงไว้ในกลุ่มศัพท์ อูการันต์
โค แสดงไว้ในศัพท์ โอการันต์

มน
คุณวนฺตุ
หิมวนฺตุ
สติมนฺตุ
คจฺฉนฺต
ภวนฺต
ภทฺทนฺต
สนฺต
ราช
พฺรหฺม
อตฺต
สข
อาตุม
ปุม
ยุว
มฆว
อทฺธ
สา
เหตุ
ชนฺตุ
สตฺถุ
สกมนฺธาตุ
ปิตุ
อภิภู,
โค


ข้าพเจ้าจะแสดงวิธีการสำเร็จรูปในกลุ่มศัพท์เหล่านี้ ไปตามลำดับที่คัมภีร์ปทรูปสิทธิเแสดงไว้
          ก่อนจะเข้าสู่ระบบการสร้างรูปคำในกลุ่มศัพท์ต่างๆ ที่เรียกว่า คณศัพท์ จะขอชี้แจงวิธีการจัดกลุ่มนามศัพท์ของคัมภีร์ไวยากรณ์ต่างๆ.
          คณะ ในที่นี้ คืออะไร?  
        คณะ ได้แก่ คือ กลุ่มของศัพท์ที่มีปทมาลา คือ รูปแบบการแจกวิภัตติ เป็นแบบเดียวกัน.
          เมื่อจะยกนามศัพท์ใดในกลุ่มนามศัพท์นั้นขึ้นเป็นประธานโดยกล่าวขึ้นเป็นลำดับแรก กลุ่มนามศัพท์นั้นก็ได้ชื่อตามนามศัพท์นั้น เช่น นามศัพท์ ๑๖ ศัพท์ เหล่านี้คือ
มน, ใจ, วจ, ถ้อยคำ, วย, วัย, เตช, ไฟ ตป, ตบะ, เจต, จิต, ตโม, ความมืด, อห, วัน อย, เหล็ก, ปย, น้ำนม, ยส, ยศ, รห, ที่ลับ สิร, ศรีษะ, ฉนฺท, ฉันทะ, สร, สระน้ำ, อุร, อก
มีปทมาลา เหมือนกัน และท่านแสดงมน ศัพท์เป็นศัพท์ที่ ๑ ดังนั้น กลุ่มนามศัพท์ ๑๖ ศัพท์นี้ เรียกว่า มโนคณศัพท์ กลุ่มนามศัพท์ที่มีมนเป็นประธานโดยกล่าวเป็นลำดับแรก.
คัมภีร์ไวยากรณ์ มีคตินิยมในการจัดศัพท์ที่มีลักษณะเหมือนกันโดยปทมาลาเข้าไว้เป็นกลุ่มเดียว ดังนั้น จะพบว่า คัมภีร์ปทรูปสิทธิได้แบ่งกลุ่มนามศัพท์โดยอาศัยเกณฑ์ดังกล่าวเป็นอีกหลายกลุ่มโดยนัยเดียวกับมโนคณศัพท์ดังกล่าว ดังนี้
๑. มโนคณะ ได้แก่ กลุ่มศัพท์ที่มี มน ศัพท์ (ใจ) เป็นต้น.
๒. มโนคณาทิคณะ ได้แก่ กลุ่มศัพท์ที่มี มโนคณะ ศัพท์ เป็นต้น.
๓. คุณวนฺตาทิคณะ ได้แก่ กลุ่มศัพท์ที่มี คุณวนฺตุ ศัพท์เป็นต้น
๔. คจฺฉนฺตาทิคณะ ได้แก่ กลุ่มศัพท์ที่มี คจฺฉนฺต ศัพท์เป็นต้น
๕. ราชาทิคณะ ได้แก่ กลุ่มศัพท์ที่มี ราช ศัพท์ เป็นต้น
๖. ปุริสาทิคณะ ได้แก่ กลุ่มศัพท์ที่มี ปุริส ศัพท์เป็นต้น[1]
๗. ปุมาทิคณะ ได้แก่ กลุ่มศัพท์ที่มี ปุม ศัพท์เป็นต้น.
๘.  สตฺถาทิคณะ ได้แก่ กลุ่มศัพท์ที่มี สตฺถุ ศัพท์เป็นต้น
๙. จิตฺตาทิคณะ ได้แก กลุ่มศัพท์ที่มี จิตฺต ศัพท์ เป็นต้น
๑๐. รตฺตาทิคณะ ได้แก่ กลุ่มศัพท์ที่มี รตฺติ ศัพท์ เป็นต้น
๑๑. กญฺญาทิคณะ ได้แก่ กลุ่มศัพท์ที่มี กญฺญา ศัพท์ เป็นต้น
๑๒. นทาทิคณะ ได้แก่ กลุ่มศัพท์ที่มี นที ศัพท์ เป็นต้น
๑๓.  คหปตาทิคณะ ได้แก่ กลุ่มศัพท์ที่มี คหปตานี ศัพท์เป็นต้น
ศัพท์ที่จัดไว้เป็นคณะนั้น ก็อาศัยวิธีการสำเร็จรูปและกลุ่มสูตรเดียวกันในปฐมาวิภัตติเป็นส่วนใหญ่[2] กล่าวคือ จะมีรูปเดียวกันในปฐมาวิภัตติ แต่ในวิภัตติอื่น อาจมีที่ต่างกันไป. และในบางคณะก็มีรูปที่เป็นพิเศษไม่เหมือนกับคณะอื่นๆ เช่น มโนคณะศัพท์เป็นต้นซึ่งจะได้แสดงเป็นแต่ละกรณีไป
ในกลุ่มศัพท์ทั้ง ๑๓ กลุ่มนี้ บางกลุ่มได้แสดงไปแล้ว และบางกลุ่มก็เป็นอิตถีลิงค์และนปุงสกลิงค์  ในที่นี้จะได้นำกลุ่มที่ยังไม่ได้กล่าวถึงเฉพาะในปุงลิงค์มาแสดง.

มโนคณะและมโนคณาทิคณะ
คัมภีร์ปทรูปสิทธินำกลุ่มศัพท์ที่เรียกว่า มโนคณาทิคณะ มาแสดงวิธีการสำเร็จรูปเป็นลำดับแรก.
ท่านทั้งหลายโปรดสังเกต มโนคณะ และมโนคณาทิคณะ ต่างกัน. มโนคณะ หมายถึง กลุ่มศัพท์ ๑๖ ที่มี มน เป็นลำดับแรก. ส่วนมโนคณาทิคณะ หมายถึง กลุ่มศัพท์ที่มีมโนคณะเป็นลำดับแรก. ดังนั้น มโนคณาทิคณะ จึงมีศัพท์ที่มีมากกว่า ๑๖ ศัพท์ เพราะนอกจากศัพท์ทั้ง ๑๖ นั้นแล้ว ยังหมายถึงศัพท์อื่นๆ ที่มีปทมาลาที่คล้ายคลึงกับมโนคณะ นั้นอีกด้วย.

มโนคณาทิคณ มีศัพท์อะไรบ้าง? ท่านรวบรวมไว้ทั้งหมด ๒๘ ศัพท์ คือ
มโนคณะ ๑๖ ศัพท์ ที่มีรูปในทุติยา ตติยา จตุตถี และสัตตมีวิภัตติ เหมือนกัน และศัพท์อื่นที่คล้ายกับมโนคณะนั้น เพราะมีรูปในบางวิภัตติไม่เหมือนกัน และบางวิภัตติเหมือนกันอีก ๑๒ ศัพท์ คือ
พิล  ช่อง, พล  กำลัง, ทม การฝึก, วาห เกวียน,  ชรา ความแก่, ปท บท, มุข  หน้า หรือปาก, ชร โรค, อาป น้ำ, สรท  ปี, ฤดูอับลม, วาย ลม, รช ธุลี.

ข้าพเจ้าจะประมวลลักษณะของมโนคณาทิคณะ หลังจากได้แสดงปทมาลาครบแล้วอีกครั้งหนึ่งว่า มโนคณะ และ ศัพท์อื่นๆ ที่ถูกจัดเข้าในกลุ่มเดียวกับมโนคณะ มีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างไร.

          วันนี้หมดเวลา คงได้แต่มาคุยกันในเบื้องต้นเท่านั้น คราวหน้าจะเริ่มต้นแสดงลักษณะของมโนคณะที่โดดเด่นอันเป็นเหตุให้เป็นเครื่องกำหนดมโนคณะและมโนคณาทิคณะ โดยละเอียด กันครับ

ขออนุโมทนา
สมภพ สงวนพานิช




[1] นอกจากจะจัดแบบนี้แล้ว ยังสามารถจัดตามการันต์ต่าง ๆ คือ ปุริสาทิคณะ, ทณฺฑฺยาทิคณะ, ภิกฺขาทิคณะ, เป็นต้น
[2] ตามที่ได้แสดงไว้ในคัมภีร์ปทวิจารและปทวิจารทีปนี ฉบับแปลของสถาบันบาลี ฯ หน้าที่ ๓๒๘ เป็นต้นไป.

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

๑๘๙ นามศัพท์ : ระบบการสร้างรูปคำนามใน อูการันต์

#ปทรูปสิทธิสังเขป๑๘๙
นามศัพท์ : ระบบการสร้างรูปคำนามใน อูการันต์
----
นามศัพท์ที่เป็นอูการันต์ ปุงลิงค์ ท่านนำ วิญฺญู ผู้รู้แจัง มาเป็นแบบอย่างเพื่อกำหนดศัพท์อื่น

ขออนุโมทนา
สมภพ สงวนพานิช

อู การันต์ ในปุงลิงค์
อุ การันต์ ในปุงลิงค์ แจกแบบ วิญฺญู (ผู้รู้แจ้ง) ดังนี้

วิญฺญู สทฺทปทมาลา
แสดงกลุ่มคำที่ประกอบวิภัตติของ วิญฺญู ศัพท์

วิภัตติ
เอกวจนะ
พหุวจนะ
ปฐมา
วิญฺญู
วิญฺญุโน  วิญฺญู
อาลปนะ
โภ วิญฺญุ
ภวนฺโต วิญฺญุโน  วิญฺญู
ทุติยา
วิญฺญุํ
วิญฺญุโน  วิญฺญู
ตติยา
วิญฺญุนา
วิญฺญูหิ  วิญฺญูภิ
จตุตถี
วิญฺญุสฺส  วิญฺญุโน
วิญฺญูนํ
ปญฺจมี
วิญฺญุนา วิญฺญุสฺมา วิญฺญุมฺหา
วิญฺญูหิ  วิญฺญูภิ
ฉฏฐี
วิญฺญุสฺส  วิญฺญุโน
วิญฺญูนํ
สตฺตมี
วิญฺญุสฺมึ  วิญฺญุมฺหิ
วิญฺญูสุ


×vØ

๑๘๙ นามศัพท์ : ระบบการสร้างรูปคำนามใน อูการันต์

#ปทรูปสิทธิสังเขป๑๘๙
นามศัพท์ : ระบบการสร้างรูปคำนามใน อูการันต์
----
นามศัพท์ที่เป็นอูการันต์ ปุงลิงค์ ท่านนำ วิญฺญู ผู้รู้แจัง มาเป็นแบบอย่างเพื่อกำหนดศัพท์อื่น

ขออนุโมทนา
สมภพ สงวนพานิช

อู การันต์ ในปุงลิงค์
อุ การันต์ ในปุงลิงค์ แจกแบบ วิญฺญู (ผู้รู้แจ้ง) ดังนี้

วิญฺญู สทฺทปทมาลา
แสดงกลุ่มคำที่ประกอบวิภัตติของ วิญฺญู ศัพท์

วิภัตติ
เอกวจนะ
พหุวจนะ
ปฐมา
วิญฺญู
วิญฺญุโน  วิญฺญู
อาลปนะ
โภ วิญฺญุ
ภวนฺโต วิญฺญุโน  วิญฺญู
ทุติยา
วิญฺญุํ
วิญฺญุโน  วิญฺญู
ตติยา
วิญฺญุนา
วิญฺญูหิ  วิญฺญูภิ
จตุตถี
วิญฺญุสฺส  วิญฺญุโน
วิญฺญูนํ
ปญฺจมี
วิญฺญุนา วิญฺญุสฺมา วิญฺญุมฺหา
วิญฺญูหิ  วิญฺญูภิ
ฉฏฐี
วิญฺญุสฺส  วิญฺญุโน
วิญฺญูนํ
สตฺตมี
วิญฺญุสฺมึ  วิญฺญุมฺหิ
วิญฺญูสุ


×vØ

วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ปทรูปสิทธิสังเขป ๘๑

#ปทรูปสิทธิสังเขป ๘๑
วิธีการเชื่อมบทโดยอาศัยนิคคหิตเป็นเหตุ “นิคคหิตสนธิ” (๑)

นิคคหิตสนธิ
          นิคคหิตสนธิ คือ การเชื่อมบทที่มีทั้งสระ พยัญชนะและนิคคหิตเป็นนิมิต โดยการลบ อาเทส อาคม นิคคหิตนั้น กล่าวอย่างง่าย ๆ คือ เป็นการต่อนิคคหิตกับสระหรือพยัญชนะ. ข้อนี้สมกับที่ในปทรูปสิทธิกล่าวไว้ว่า

          นิคฺคหีตสฺส สนฺธิ นิคฺคหีตสนฺธิ 
          การสนธิหรือการเชื่อมแห่งนิคคหิต ชื่อว่า นิคคหิตสนธิ.

          นิคคหิตนี้ มีวิธีการโดยทำนองเดียวกันกับสรสนธิและพยัญชนสนธิ นั่นเอง แต่ก็มีข้อที่ต่างจากสระสนธิและพยัญชนะสนธิอยู่บ้าง นั่นก็คือ ในสระหรือพยัญชนะสนธิ มีแต่เพียงสระหรือพยัญชนะเท่านั้นเป็นนิมิต แล้วทำการต่อเสียงสระกับพยัญชนะหรือสระกับสระ. ส่วนในนิคคหิตสนธินี้ มีทั้งสระ พยัญชนะและนิคคหิตเป็นนิมิต รวมไปถึงการเชื่อมต่อระหว่างนิคคหิตท้ายศัพท์หน้ากับสระหรือพยัญชนะต้นของศัพท์หลัง ด้วยเหตุนี้ ในสัททนีติ ท่านจึงเรียกนิคคหิตสนธิว่า โวมิสสกสนธิ เพราะเป็นสนธิผสมกันทั้ง ๓ ,  หรือ สาธารณสนธิ สนธิอันรวมวิธีไว้หลายอย่าง เช่น การแปลง การลบ การสลับ ซึ่งพยัญชนะ สระ และนิคคหิต. ข้อนี้สมดังข้อความที่มาสัททนีติปกรณ์ว่า

          บทที่ถูกเชื่อมผสมกันทั้งที่เกี่ยวกับสระและพยัญชนะเป็นต้น ชื่อว่า โวมิสสสนธิ.  จริงอย่างนั้น การเชื่อมต่อที่สำเร็จด้วยอำนาจการแปลงและลบสระ, พยัญชนะและนิคคหิต ชื่อว่า โวมิสสสนธิ,  โวมิสสสนธินั่นแล เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สาธารณสนธิ เพราะมีการรวมวิธีไว้หลายอย่าง เช่น การแปลง การลบ การสลับ ซึ่งสระ พยัญชนะและนิคคหิต.

          เช่นเดียวกันนี้ โวมิสสสนธินั่นแล เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วุตตสนธิ เพราะถูกให้สำเร็จด้วยวิธีการลบและการลงอาคมเป็นต้นเพื่อรักษาฉันท์, รักษาคาถาในร้อยกรอง และเพื่อให้ออกเสียงได้ง่ายในจุณณิยบท (ร้อยแก้ว).

          พึงทราบว่า แม้ท่านจะแสดงชื่อสนธิเหล่านั้นไว้ ๓ ชื่อ ก็ตาม แต่สนธิเหล่านั้น ก็ถูกจัดเข้าอยู่ในสรสนธิและพยัญชนสนธินั่นเอง. (สัททนีติ สุตตมาลา แปล น. 113).

          แม้ในแบบเรียนบาลีไวยากรณ์ท่านก็แสดงไว้โดยนัยเดียวกับรูปสิทธิปกรณ์นั้นว่า การต่อนิคคหิต ชื่อว่า นิคคหิตสนธิ.

********************
˜

ปทรูปสิทธิสังเขป

๕๑. ส เย จ.
นิคคหิต กับ ยฺ ย่อมถึงความเป็น ญฺ ได้ ในเพราะ ยฺ ได้บ้างตามอุทาหรณ์.
------------------

หลักเกณฑ์ : อธิบายและข้อกำหนดของสูตรนี้  
-  ถ้าบทหน้าอันมีนิคคหิตเป็นเสียงท้ายนั้น อักษรต้นของบทหลังเป็น ยฺ อักษร แปลงนิคคหิตเป็น ญฺ
- การแปลงในที่นี้ หมายถึง ทั้ง นิคคหิต และ ยฺ จะกลายเป็น ญฺ ไปเลย
- รูปสำเร็จที่มาจากสูตรนี้ จะไม่มีนิคคหิต และ ยฺ อยู่เลย เช่น สํ + โยโค เป็น สญฺโญโค เป็นต้น.
- หลังจากการอาเทส เป็น ญฺ แล้ว ให้ซ้อน ญฺ อักษรอีกตัวหนึ่งขึ้นมาด้วยสูตรว่า ปร เทฺวภาโว ฐาเน

***  ๒ ข้อนี้ สำคัญมาก ***
- ต้องเป็น นิคคหิตที่อยู่ท้ายบทว่า สํ อุปสัค
- ถ้าเป็นนิคคหิตที่ไม่ใช่ สํ อุปสัค  บทหลังต้องเป็น ย สัพพนาม เท่านั้น 
ถ้าพ้นจากกฎเกณฑ์ ๒ ข้อนี้แล้ว ไม่สามารถแปลงนิคคหิต เป็น ญฺ ได้เลย.

หมายเหตุ
ก. อุปสัค หมายถึง บทที่ลงข้างหน้าคำนามและกิริยาเพื่อทำให้คำนามและกิริยานั้นมีความหมายต่างไปจากความหมายเดิมได้ เป็นต้น รายละเอียดอยู่ในเรื่องอุปสัคและนิบาต ซึ่งจะได้เรียนกันเมื่อเรียนเรื่องคำนามจบแล้ว)
ข. ย ที่เป็น สัพพนาม ได้แก่ คำว่า โย  เย  ยํ  เยน  ยสฺส  เยสํ  เยสานํ ยสฺมา เยหิ ยสฺมึ เยสุ เป็นต้น ซึ่งเป็นคำที่ใช้แทนคำนาม รายละเอียดเราจะได้ศึกษาต่อไปในเรื่องของคำสัพพนาม ต่อจากสนธินี้)

            

‎ปทรูปสิทธิสังเขป‬ ๖

ปทรูปสิทธิสังเขป ๖
***
๕. อญฺเญ ทีฆาฯ

สระที่เหลือนอกจากรัสสะที่กล่าวมาในสูตรที่ ๔ ชื่อว่า ทีฆะ

----
สระอีก ๕ ตัวที่เหลือ ออกเสียงจบช้ากว่า ใช้เวลาเท่ากับ ๒ มาตรา หรือประมาณ กระพริบตา ๒ ครั้ง จัดเป็นทีฆะ ได้แก่ อา อี อู เอ โอ.
***

‪#‎ปทรูปสิทธิสังเขป‬ ๕

ปทรูปสิทธิสังเขป
***
๔. ลหุมตฺตา ตโย รสฺสาฯ
สระ ๓ ตัวที่ออกเสียงจบเร็ว ชื่อว่า รัสสะ.
----
สระ ๘ ตัวนั้น แบ่งออกตามระยะเวลาออกเสียงได้ ๒ ประเภท คือ รัสสะ และ ทีฆะ, โดยสระที่ออกเสียงจบเร็ว ใช้เวลา ๑ มาตรา หรือเทียบเท่ากับเวลาชั่วกระพริบตาหนึ่ง จัดเป็น รัสสะ มีอยู่ ๓ ตัว คือ อ อิ และ อุ.
***