๕๑.
ส เย จ.
นิคคหิต
กับ ยฺ ย่อมถึงความเป็น ญฺ ได้ ในเพราะ ยฺ ได้บ้างตามอุทาหรณ์.
------------------
หลักเกณฑ์
:
อธิบายและข้อกำหนดของสูตรนี้
- ถ้าบทหน้าอันมีนิคคหิตเป็นเสียงท้ายนั้น อักษรต้นของบทหลังเป็น
ยฺ อักษร แปลงนิคคหิตเป็น ญฺ
-
การแปลงในที่นี้ หมายถึง ทั้ง นิคคหิต และ ยฺ จะกลายเป็น ญฺ ไปเลย
-
รูปสำเร็จที่มาจากสูตรนี้ จะไม่มีนิคคหิต และ ยฺ อยู่เลย เช่น สํ + โยโค เป็น
สญฺโญโค เป็นต้น.
-
หลังจากการอาเทส เป็น ญฺ แล้ว ให้ซ้อน ญฺ อักษรอีกตัวหนึ่งขึ้นมาด้วยสูตรว่า ปร
เทฺวภาโว ฐาเน
*** ๒ ข้อนี้ สำคัญมาก ***
-
ต้องเป็น นิคคหิตที่อยู่ท้ายบทว่า สํ อุปสัค
-
ถ้าเป็นนิคคหิตที่ไม่ใช่ สํ อุปสัค
บทหลังต้องเป็น ย สัพพนาม เท่านั้น
ถ้าพ้นจากกฎเกณฑ์
๒ ข้อนี้แล้ว ไม่สามารถแปลงนิคคหิต เป็น ญฺ ได้เลย.
หมายเหตุ
ก.
อุปสัค หมายถึง
บทที่ลงข้างหน้าคำนามและกิริยาเพื่อทำให้คำนามและกิริยานั้นมีความหมายต่างไปจากความหมายเดิมได้
เป็นต้น รายละเอียดอยู่ในเรื่องอุปสัคและนิบาต
ซึ่งจะได้เรียนกันเมื่อเรียนเรื่องคำนามจบแล้ว)
ข.
ย ที่เป็น สัพพนาม ได้แก่ คำว่า โย
เย ยํ เยน
ยสฺส เยสํ เยสานํ ยสฺมา เยหิ ยสฺมึ เยสุ เป็นต้น
ซึ่งเป็นคำที่ใช้แทนคำนาม รายละเอียดเราจะได้ศึกษาต่อไปในเรื่องของคำสัพพนาม
ต่อจากสนธินี้)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น